เมื่อวันที่ 17 เมษายน 68 เพจ เตือนภัยพิบัติฝนฟ้าอากาศ ได้เผยข้อความระบุว่า เตือนภัยลมแรง-ฝนถล่ม จากพายุฤดูร้อน หลายพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบ”ช่วงบ่ายแก่ๆยาวไปจนถึงช่วงดึกเตรียมตัวรับแรงปะทะ ลักษณะสภาพอากาศโดยทั่วไป ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำพาความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลมตะวันตกเฉียงใต้และเกิดคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกพัดสนับสนุนความชื้นอีกทาง ประกอบกับมีความกดอากาศต่ำหรือความร้อนชื้นปกคลุมประเทศไทยตอนบน เฉลี่ยอุณหภูมิสูงสุดในช่วงระหว่างวันหรือช่วงบ่าย35-39องศาเซลเซียส จึงขอเตือนลักษณะสภาพอากาศเช่นนี้ อาจจะทำให้เกิดพายุฤดูร้อนระดับปานกลางไปจนถึงระดับรุนแรงได้เป็นบางพื้นที่ พื้นที่เสี่ยงฝนฟ้าคะนองและพายุฤดูร้อนระดับรุนแรง ตาก กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ กำแพงเพชร สุโขทัย ลำพูน แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ สุพรรณบุรี อ่างทอง ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี สระบุรี เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย แพร่ ลำปาง น่าน พะเยา เชียงราย นครราชสีมา ชัยภูมิ เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ กาฬสินธุ์ มุกดาหาร สกลนคร นครพนม บึงกาฬ จากภาพบางพื้นที่อาจจะมีเมฆครึ้มๆและมีฝนฟ้าคะนองหรือพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นได้เป็นบางพื้นที่บางแห่ง ให้เช็คในเรดาร์ฝนและภาพดาวเทียมเป็นหลัก ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ แบบจำลองสภาพอากาศให้ดูเพื่อเป็นการประกอบการตัดสินใจเท่านั้น ลักษณะของอากาศร้อนชื้น และการลอยตัวของอากาศอย่างรุนแรง
ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักการทางอุตุนิยมวิทยาดังนี้
1. อุณหภูมิพื้นดินร้อนจัด (Convective Heating) ในช่วงกลางวัน โดยเฉพาะบ่ายแก่ ๆ พื้นดินจะได้รับความร้อนจากแสงแดดเต็มที่ พื้นดินร้อนจะทำให้อากาศใกล้พื้นอุ่นและลอยตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
2. อากาศชื้น บรรยากาศในช่วงฤดูร้อนจะมีไอน้ำสะสมสูง เพราะมีการระเหยของน้ำจากพื้นดิน พืช และแหล่งน้ำ เมื่ออากาศอุ่นลอยตัวสูงขึ้น มันจะเย็นลงจนถึงจุดที่ไอน้ำควบแน่นกลายเป็นเมฆ
3. เกิดเมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) เมฆแบบนี้มีลักษณะสูงใหญ่ ทะลุชั้นบรรยากาศ และมักก่อให้เกิดฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ฟ้าผ่า และลูกเห็บ เมฆนี้เกิดจากการยกตัวของอากาศอย่างรวดเร็ว (strong convection)
4. ความไม่เสถียรของบรรยากาศ (Atmospheric Instability)ถ้าอากาศชั้นบนเย็นกว่าปกติ หรือมีลมเปลี่ยนทิศทาง (Wind Shear) ยิ่งทำให้เกิดการหมุนวนภายในเมฆและเสริมความรุนแรงของพายุ เมื่ออุณหภูมิผิวพื้นอยู่ที่ 35–40°C และอากาศชั้นบนที่ความสูงประมาณ 5,500 เมตร มีอุณหภูมิติดลบ -5 ถึง -10°C จะเกิดกระบวนการที่เรียกว่า: การควบแน่นของไอน้ำและการก่อตัวของเมฆแบบ “คิวมูโลนิมบัส” โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้
1. การยกตัวของอากาศอุ่น (Thermal Convection) อากาศใกล้พื้นร้อนจะเบาและลอยตัวขึ้นเมื่อสูงขึ้น อุณหภูมิจะลดลงประมาณ 6.5°C ต่อ 1,000 เมตร (ค่าเฉลี่ย Lapse Rate) ที่ความสูง 5,500 เมตร อากาศจึงเย็นลงพอที่จะถึง จุดควบแน่น (Dew Point)
2. การควบแน่น (Condensation)ไอน้ำในอากาศที่ลอยตัวสูงจะเย็นลงจนควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ กระบวนการนี้จะปลดปล่อยพลังงานแฝง (Latent Heat) ซึ่งทำให้เมฆพัฒนาและสูงขึ้นอีก เมื่อลอยตัวสูงพอ หยดน้ำเริ่มใหญ่ขึ้นและเกิดฝน –
3. การควบแน่นแบบเย็นจัด (Supercooled Condensation)ที่อุณหภูมิประมาณ -5 ถึง -10°C หยดน้ำบางส่วนยังอยู่ในสภาพของเหลว แม้จะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง (เรียกว่า “supercooled water”)ถ้ามีอนุภาคเล็ก ๆ (เช่น ฝุ่น เกลือ หรือคริสตัลน้ำแข็ง) จะกระตุ้นให้หยดน้ำเหล่านั้นกลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อหยดน้ำและผลึกน้ำแข็งปะทะกัน → กลายเป็นเม็ดฝนหรือลูกเห็บ
4. การเกิดเมฆคิวมูโลนิมบัส เป็นเมฆขนาดใหญ่ที่ยอดทะลุไปถึงชั้นโทรโพสเฟียร์ชั้นบน บ่อยครั้งเกิดพายุฟ้าคะนอง ลมแรง ฟ้าผ่า และบางครั้งมีลูกเห็บ
สรุป ช่วงบ่ายแก่ ๆ พื้นดินร้อนจัด → อากาศอุ่นลอยตัวสูง → ไอน้ำควบแน่นเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่ → ถ้าอากาศชั้นบนไม่เสถียร ก็จะกลายเป็นพายุฤดูร้อน